กรมการแพทย์เตือนไอเป็นเลือด อาจเสี่ยงเกิดโรคร้ายแรง - Gclubthnarok

Gclubth เว็บไซต์พนันออนไลน์การันตี อันดับ1 ของคนเล่น

Breaking

Post Top Ad

Post Top Ad

Responsive image

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2562

กรมการแพทย์เตือนไอเป็นเลือด อาจเสี่ยงเกิดโรคร้ายแรง

สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ เตือนหากมีอาการไอเลือดออกปริมาณมากเกิน 2 แก้วครึ่งต่อวันไอออกมาเป็นฟองมีเลือดเป็นลิ่มๆ ผสมกับเสมหะ ไอออกมามีเลือดสีคล้ำและมีเศษอาหารผสมคล้ายกากกาแฟ หรือไอเรื้อรังติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป อาจมีความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที


          Gclubthnarok   นายแพทย์มานัส  โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ไอเลือดออก คือภาวะที่เกิดจากการไอแรงๆ หรือขากแรงๆ จนทำให้เส้นเลือดฝอยที่ผนังคอหอย รวมทั้งเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ต่อมทอนซิล ปริแตก จึงทำให้มีเลือดปนออกมากับเสมหะ ซึ่งอาการดังกล่าวไม่มีอันตรายหากหยุดไอแรงๆ หรือหยุดขากแรงๆ แต่ถ้ามีอาการไอแล้วเลือดที่ออกมาเป็นสีคล้ำดำหรือสีคล้ายเลือดหมูเก่าๆ และมักจะออกมาเป็นก้อนปนกับเสมหะหรือเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง อาจเกิดจากโรคหลอดลมโป่งพอง ฝีในปอด มะเร็งปอด วัณโรค หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น ควรรีบไปโรงพยาบาล เพื่อเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะ และรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง จะทำให้รักษาหายได้เร็วยิ่งขึ้น

          นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการไอเลือดออก ที่บ่งชี้ว่าควรรีบไปพบแพทย์ คือ ไอเลือดออกปริมาณมาก เช่น ไอครั้งเดียวแล้วมีเลือดสดๆออกมาเกิน 1 แก้วน้ำ (ประมาณ 200 ซีซี) หรือ ใน 1 วัน ไอมีเลือดออกเกิน 2 แก้วครึ่ง (ประมาณ 600 ซีซี) และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ไอออกมาเป็นฟอง มีเลือดเป็นลิ่มๆ และมีเสมหะผสม ไอเลือดออกมามีสีคล้ำ และมีเศษอาหารผสมคล้ายกากกาแฟ อาจเป็นเลือดที่มาจากทางเดินอาหารที่กำลังมีปัญหา ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้อง ช่วงตอนบน เหนือระดับสะดือ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร และถ่ายอุจจาระดำเหมือนยางมะตอยร่วมด้วย หรือ ไอเรื้อรังติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป  มีอาการไอเลือดออก เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มักมีไข้ตอนบ่าย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ผิวหนังซีดเหลือง เหงื่อออกตอนกลางคืน สันนิษฐานได้ว่ามีความเสี่ยงอาจจะเป็นวัณโรคปอด ดังนั้น  หากมีอาการดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อหาสาเหตุและ รับการรักษาได้อย่างถูกต้อง




ขอขอบคุณภาพและข้อมูล จาก thaihealth.or.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Post Top Ad